วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยไอที : 12 สิ่งที่จะทำให้ประสบผลสัมเร็จในธุรกิจดอทคอม Ecommerce guide

นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาแล้วยังมีปัจจัยที่เป็นหัวใจของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซอีก 12 ปัจจัยด้วยกันเป็น 12 ซี (12Cs) โดย 6 ซีแรกนั้นคิดขึ้นมาโดย โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) และ 6 ซีหลังคิดโดย สตีฟ เคส (Steve Case) บิ้กบอสแห่ง เอโอแอลและไทม์วอร์เนอร์ (AOL and Time Warner) ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

เนื้อหา (Content)
สิ่งที่จำเป็นที่ช่วยสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจและสนใจสินค้าหรือการบริการนั้นก็คือเนื้อหาสาระในเว็บ ปัจจุบันเนื้อหาสาระบนเว็บไม่เพียงแต่จะเปรียบเสมือนเป็นประตูหน้าบ้านเท่านั้น แต่ยังคงเป็นสิ่งที่ช่วยจัดหากำไรเพื่อธุรกิจด้วย
การค้า (Commerce)
การค้าขายซึ่งเป็นหัวใจหลักที่สำคัญของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกันอยู่ที่อินเตอร์เนต การค้าขายก็จะต้องมาเป็นอันดับต้นๆ ด้วย กิจการหลายประเภทเริ่มเข้ามาสู่อินเตอร์เนตมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ยา เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ และอื่นๆ อีกมากก็นำมาค้าขายกันผ่านอินเตอร์เนต
การติดต่อสื่อสาร (Communication)
สิ่งที่ช่วยสร้างสัมพันธภาพระหว่างลูกค้าและเจ้าของร้านคือสื่อที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารซึ่งนับว่ามีบทบาทสำคัญมากในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็น อีเมล์ กระดานข่าว หรือ โทรศัพท์โทรสาร เป็นต้น
ชุมชน (Community)

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอเมซอน 2 Rich from Amazon 2

การส่งเสริมการตลาด (Promotion)
อเมซอนถือว่าเป็นเว็บที่ใช้รูปแบบการสื่อสารแบบครบวงจร (IMC) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย
  • โฆษณา (Advertising) อเมซอนได้ทำผ่านทางแบนเนอร์ (Banner) หรือภาพสีเหลี่ยมบนเว็บไซต์เพื่อให้คนคลิกเข้ามา เป็นต้น
  • ประชาสัมพันธ์ (Public Relations) อเมซอนก็มีบทความ หรือลงข่าวในหนังสือ นิตยสารต่างๆ เช่น Business Week หรือการแจ้งข้อมูลบนเว็บไซต์ ในฐานะ Brochureware
  • ส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) อเมซอนจะส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การลดราคา   การคืนเงินหากลูกค้าไม่พอใจ คือจะคืนเงินให้ หรือส่งของให้ใหม่โดยลูกค้าไม่ต้องจ่ายเพิ่มเลยครับ การซื้อ 1 แถม 1 หรือ 3 ชิ้นในราคา 15 ดอลล่าร์ นอกจากนี้อเมซอนมีการส่งเสริมการขายที่น่าสนใจคือ
  • ลูกค้าสามารถเลือกการส่งเสริมการขายได้ 1 รายการต่อวัน โดยจะมีทุกวัน หรือการส่งเสริมการขายที่เว็บอื่นไม่มีคือ อเมซอนจะคืนเงินให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้ว หากสินค้ามีการลดราคาภายใน 30 วันหลังจากวันที่ส่งให้ลูกค้า หากลูกค้าไม่ทวง ก็อดนะครับ ลูกค้าก็จะต้องเข้าไปเช็คบ่อยๆ
    • การตลาดทางตรง (Direct Marketing) อเมซอนตอบสนองของลูกค้าแต่ละคนที่มีความต้องการแตกต่างกันไป โดยดูจากสถิติการเข้าชมเว็บในแต่ละหน้า เพื่อหาสินค้าที่ลูกค้าชอบดูบ่อยๆ มาโชว์บนหน้าเว็บ โดยเปลี่ยนทุกครั้งที่ลูกค้าเข้ามา นอกจากนี้ก็มีการแจ้งรายการสินค้าใหม่ทางอีเมล์ โดยไม่ใช่ junk mail นะครับ แต่เป็นเมล์ที่ลูกค้าสั่งให้เขาส่งมาเอง   วัตถุประสงค์คือ จะได้ไม่เป็นการรบกวนลูกค้าไงล่ะครับ
    นอกจากนี้ อเมซอนก็ยังได้สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าจะมีหน้า Account ของตัวเอง และสามารถเข้าไปดูเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้
    โดยจะต้อง sign in ทุกครั้งเมื่อมีการแก้ไขข้อมูล
    นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเข้าไปเช็คออร์เดอร์ว่าส่งให้หรือยัง หรือสามารถยกเลิกบางรายการที่ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการขนส่ง

    ข้อดีอีกส่วนหนึ่งคือ เมื่อเราคลิกเข้าไปดูรายการสินค้าที่เราเคยซื้อไปแล้ว อเมซอนจะขึ้นข้อความด้านบนว่า
    “คุณเคยซื้อสินค้านี้เมื่อวันที่ ........... เช็ค order status ได้ที่นี่”
    อเมซอนยังเก็บประวัติการเข้าชมเว็บของลูกค้า และรวบรวมรายการสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และโชว์บนเว็บไซต์ว่าเป็นสินค้าแนะนำ ซึ่งแต่ละครั้งที่ลูกค้าเข้าเว็บ สินค้าจะไม่ซ้ำกันเลย วิธีนี้อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Cross Selling หรือแนะนำสินค้าเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้าตัวอื่นๆ และไปอีกเรื่อยๆ มีมีวันหมด

    อเมซอนยังได้มีหัวข้อ “ช่วยเหลือ” เมื่อลูกค้าต้องการสอบถามข้อมูล ซึ่งข้อมูลบนนี้มาจากที่ลูกค้ามักจะถามบ่อยๆ

    บนเว็บไซต์ยังมีบริการให้กับสมาชิก เช่น ให้สมาชิกอีเมล์ หรือ โทรศัพท์
     
    ในเว็บฟอร์ม ลูกค้าสามารถส่งอีเมล์ถึงอเมซอน และอเมซอนจะตอบภายใน 24 ชั่วโมง
     

           (เมื่อลูกค้าเลือกว่าให้ติดต่อทางโทรศัพท์ ลูกค้าก็มีแบบฟอร์มให้กรอก โดยใส่เบอร์โทร และพนักงานจะโทรหาลูกค้าเอง)
    ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยที่ทำให้อเมซอนประสบความสำเร็จในฐานะร้านค้าออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้าน และเป็นแบบอย่างที่ธุรกิจอื่นๆ ในอนาคตน่าจะพัฒนาตามแบบอย่าง เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยความซื้อสัตย์ สร้างความพอใจ ความสะดวกสบาย และในที่สุดก็กลายเป็นเครื่อข่าย โดยลูกค้าจะบอกต่อกันไปเอง ซึ่งตรงตามหลักการตลาดแบบไวรัส (Viral Marketing)

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอเมซอน 1

 เมื่อกล่าวถึงร้านค้าบนอินเตอร์เน็ตที่มีอยู่บนโลก คงไม่มีใครไม่รู้จักร้านค้าออนไลน์อย่างเดียว (Pure Play) ที่ใหญ่ที่สุดร้านหนึ่ง นั่นก็คือ อเมซอนดอทคอม หรือ www.amazon.com นะครับ ซึ่งใครไม่รู้จักก็นับว่าเชยเต็มที เพราะร้านนี้มีสาขาทุกทวีปทั่วโลก และมีชื่อเสียงพอๆ กับ msn, hotmail, หรือ yahoo! ทีเดียวเชียว เบื่องต้น อเมซอนก่อตั้งในปี 1994 โดย Jeff Bezos ณ เมืองซีอัทเทิล วอชิงตัน ประเทศอเมริกา ชื่อเดิมคือ Cadabra.com และเปลี่ยนเป็น Amazon ต่อมา ซึ่งชื่ออเมซอน หมายถึง แม่น้ำที่ใหญ่ โดยแทน สินค้าจำนวนมากที่อเมซอนมีขาย บริษัทเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1995 ครับ แต่ก่อนจะขายสินค้ามากมาย อเมซอนเริ่มจากแค่ร้านหนังสือเท่านั้น คนไทยจำนวนมากก็เป็นลูกค้าของเว็บนี้ เป็นเพราะเหตุอันใดที่ทำให้เว็บไซต์นี้เป็นที่นิยม เรามาดูกันนะครับว่าเขาใช้หลักการตลาดยังไง
       เมื่อพูดถึงหลักการตลาด (Principles of Marketing) ก็จะต้องกล่าวถึงหัวข้อหลักๆ ต่อไปนี้เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix: Product, Price, Place, and Promotion) ระบบฐานข้อมูล และการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Database and Customer Relationship Management)
       ผลิตภัณฑ์ (Product) อเมซอนมีผลิตภัณฑ์ และบริการหลายชนิด เช่น หนังสือ ซีดี ดีวีดี ซอฟแวร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำสวน โทรศัพท์มือถือ ของกิน คือพูดง่ายๆ ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ (Everything on Earth) เลยทีเดียว

 นอกจากนี้ก็มีบริการต่างซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าด้วยครับ เช่น ห่อของขวัญ อีการ์ด ให้ลูกค้านำของที่เบื่อแล้วมาขายบนเว็บได้อีก บริการประมูล และอื่นๆ
ราคา (Price) อเมซอนใช้วิธีการตั้งราคาตามหลักการตลาดเป๊ะ เช่น
  • การตั้งราคาตามภูมิศาสตร์ (Geographical Pricing) ซึ่งลูกค้าในอเมริกาสามารถซื้อสินค้าบางตัวบางตัวที่มีมูลค่า
    25 ดอลล่าร์ขึ้นไป โดยไม่ต้องเสียค่าขนส่ง ซึ่งก็อยู่ใน FREE Super Saver Shipping ส่วนลูกค้าประเทศอื่นๆ ก็เสียค่าขนส่งตามที่อเมซอนกำหนด ส่วนในประเทศไทย ก็จะมีอัตราเช่น
ต่อครั้ง
ต่อชิ้น
ซีดี ดีวีดี เทปเพลง วีดีโอเทป แผ่นเสียง
$3.99
$2.49
หนังสือ
$6.99
$4.99
รวมกัน
คิดตามมูลค่าที่มากที่สุด
ตามประเภท
เช่น สั่งซื้อหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์ 2 เล่ม ซีดี 2 แผ่น ก็จะเสียค่าส่ง 6.99 + 2.49 + 2.49 + 4.99 + 4.99 = 21.95 ดอลล่าร์     บางคนบอกว่าแพง แต่จะบอกให้ว่า ส่งเองแพงกว่านะครับ อัตราจะเป็นมาตรฐานเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว ส่วนของใหญ่ๆ เช่นเฟอร์นิเจอร์ เขาจะไม่ส่งให้นอกอเมริกานะครับ
  • การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา (Psychological Pricing) เช่น ลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 19.99 หรือการตั้งราคาโดยขีดฆ่าราคาเดิม โชว์ราคาใหม่ และบอกว่า “คุณประหยัด 25%” ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าซื้อของถูก 
  • การตั้งราคาแบบต่ำกว่าคู่แข่ง (Below the Market Pricing) สินค้าบางตัว เช่น Da Vinci Code Giftset ที่อื่นจะราคา 70 – 80 ดอลล่าร์ แต่อเมซอนขายในราคา 57.99 เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าตัวอื่นด้วย นอกจากนี้ก็จะลดราคาสินค้าทุกๆ วัน
  • การตั้งราคาสูงต่ำ (High-Low Pricing) ราคาของสินค้าบนเว็บอเมซอนจะขึ้นลงทุกวัน เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาบ่อยๆ และรีบซื้อสินค้าบางตัว ในขณะที่ราคาต่ำ เพราะวันรุ่งขึ้น ราคาอาจจะเพิ่มโดยไม่รู้ตัว จากภาพ ลูกค้าเลือกสินค้าลงรถเข็น อเมซอนจะแจ้งในหน้ารถเข็น เมื่อราคาเปลี่ยนแปลง
  • โดยการสั่งซื้อสินค้าบนเว็บ ลูกค้าจะต้องมีบัตรเครดิต หรือ บริการ PayPal ซึ่งเป็น Online Payment ที่ได้รับความนิยม ในหมู่นักช้อปออนไลน์
    ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) อเมซอนเน้นขายผ่านทางหน้าเว็บไซต์อย่างเดียว แต่ใช้หลายๆ วิธีเพื่อโปรโมทให้คนรู้จัก เว็บอเมซอนจะมีทุกๆ ทวีป ต่างๆ กัน เช่น
    1. www.amazon.com (อเมริกา)
    2. www.amazon.co.uk (อังกฤษ)
    3. www.amazon.fr (ฝรั่งเศส)
    4. www.amazon.de (เยอรมัน)
    5. www.amazon.jp (ญี่ปุ่น) เป็นต้น
           นอกจากนี้อเมซอนยังมีพันธมิตรเช่น Borders.com, Borders.co.uk,Waldenbooks.com, Virginmega.com, CDNOW.com,
    and HMV.com ซึ่งจะนำลูกค้ามาที่อเมซอนทันทีที่ลูกค้าค้นหาสินค้า
    อเมซอนยังได้มีศูนย์กระจายสินค้า (Fulfillment and warehousing) ในเมืองต่างทั่วโลก ซึ่งมักอยู่ใกล้สนามบิน เช่น
    อเมริกาเหนือ
    ArizonaUSAPhoenix
    DelawareUSANew Castle
    KansasUSACoffeyville
    KentuckyUSACampbellsvilleHebron (near CVG), and Lexington
    NevadaUSAFernley and Red Rock (near 4SD)
    WashingtonUSASeattle
    PennsylvaniaUSAChambersburgCarlisle, and Lewisberry
    TexasUSADallas/Fort Worth
    OntarioCanadaMississauga
    ยุโรป
    MunsterRepublic of IrelandCork
    Bedfordshire, England, UKMarston Gate
    InverclydeScotlandUKGourock
    Fife, Scotland, UKGlenrothes
    LoiretFranceOrl?ans,
    HesseGermanyBad Hersfeld
    SaxonyGermanyLeipzig
    เอเชีย
    ChibaJapan
    GuangzhouChina
    ShanghaiChina
    BeijingChina
    (ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Amazon)
           อเมซอนจะไม่สต็อกสินค้าไว้ทั้งหมด แต่จะสต็อกสินค้าที่ขายดี โดยดูจากยอดสั่งบนอินเตอร์เน็ตที่สามารถตรวจสอบได้จากสถิติบนเว็บ ส่วนสินค้าบางตัวที่ลูกค้าสั่งเป็นพิเศษ อเมซอนก็จะสั่งไปทางผู้ผลิตให้ส่งมาให้ ซึ่งอเมซอนจะนำมาแพ็กส่งต่อให้ลูกค้า ซึ่งอเมซอนสามารถลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าคงคลังได้ และประหยัดเนื้อที่คลังสินค้า
           อีกช่องทางที่น่าสนใจคือ อเมซอนเปิดโอกาศให้สมาชิกนำลิงค์แบนเนอร์ของเว็บอเมซอนไปไว้บนเว็บตัวเอง เพื่อโปรโมท หากมีคนคลิกเข้าไปและสั่งซื้อ สมาชิกก็จะได้ค่าคอมมิสชั่น ซึ่งโครงการนี้เรียกว่า Associates Central

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีคอมเมิร์ช 5 Ecommerce for rich 5

การเตรียมพร้อมสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
สิ่งที่ผู้ต้องการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะต้องศึกษาและควรที่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและคำนึงถึงก่อนที่จะทำธุรกิจอีคอมเมิร์ชคือ
ต้องปรับแนวคิด และวิสัยทัศน์ :

นั่นคือก่อนเข้ามาทำธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ต้องปรับตัว ปรับใจ และ "แนวคิด" เสียก่อน การทำอีคอมเมิร์ซนี้เป็นการค้ายุคใหม่ ที่มีรัศมีทำการค้ากว้างไกลขึ้น คือไปได้ทั่วโลก ฉะนั้นต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม หรือต่างพฤติกรรมกัน เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องมองให้ไกล นั่นคือ ต้องมองแนวโน้ม และทิศทางการค้ายุคใหม่ โดยการเปิดรับความคิดใหม่ๆ ต้องคิด และเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อน
ต้องมีความพร้อมด้านพื้นฐาน :

คือ มีความรู้ในระดับประยุกต์ใช้งานได้อย่างน้อยสามอย่างคือ ภาษาอังกฤษ อินเตอร์เนต และการตลาดระหว่างประเทศ คือ พอที่จะรู้บ้างไม่จำเป็นต้องจบมาทางนี้ หรือแตกฉานอะไรมากนัก
ต้องคิดการใหญ่ แต่ค่อยๆ ไปจากจุดเล็กๆ (Think Global but do it local):

การค้าขายบนอินเตอร์เนตนี้มีศักยภาพมาก เนื่องจากการเข้าถึงคนได้ทั่วโลก ฉะนั้นควรจะอาศัยเทคโนโลยีนี้มาทำการค้า วางแผนให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไป อย่างไรก็ตามเราควรค่อยเป็นค่อยไป คือควรแบ่งงานออกเป็นช่วงๆ และในแต่ละช่วงควรจะมีจุดตรวจสอบและประเมินผล เพื่อจะได้ปรับกลยุทธ์ได้ถูกต้อง
ต้องปรับตัวทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง : 

เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า ส่วนใหญ่มักจะเป็นกลยุทธ์ของคู่แข่งที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ฉะนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้น ควรจะต้องมีการตอบโต้ออกไปบ้างห้ามรอช้าเป็นอันขาด เพราะการตัดสินใจช้าหรือเร็วแม้เพียงข้ามวันก็อาจจะหมายถึงกิจการที่อาจจะอยู่หรือล่มสลายได้ ดังที่เห็นได้จากผู้ให้บริการอินเตอร์เนตทั้งในอเมริกาและเมืองไทย ต่างงัดกลยุทธ์ต่างๆ อย่างออกมาตอบโต้กันในขณะนี้
ต้องมุ่งมั่น และชัดเจนในเป้าหมายของธุรกิจ :

ทางที่ดีควรจะการวางแผนการดำเนินธุรกิจทุกอย่างให้ชัดเจนและถูกต้อง และถ้ามีธุรกิจหลายประเภทก็ควรจะเกี่ยวข้อง และเกื้อหนุนกัน คือ มี Synergy และต้องอยู่ในแนวที่เสริมคุณค่าของสินค้าและบริการเดิม ไปในทิศทางเดียวกันและสัมพันธ์กัน (Value Chain)

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีคอมเมิร์ช 4 Ecommerce for rich 4

โอกาสในการทำอีคอมเมิร์ซ
ในปัจจุบันนี้หัวข้อที่นักธุรกิจพูดถึงในการทำธุรกิจมากที่สุดคืออะไร ถึงแม้ว่าผู้ประกอบธุรกิจมากมายเร่งรีบในการทำการค้าผ่านอินเตอร์เนตนั้นเพื่อที่จะเพิ่มยอดขายและบริการ ในการทำธุรกิจไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม สองสิ่งที่นักธุรกิจต้องนึกถึงอยู่ตลอดเวลานั่นก็คือ การบริการที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้กับธุรกิจของเรา มีปัจจัยหลายประการที่จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจในอินเตอร์เนตประสบความสำเร็จอย่างเช่น
การให้คุณค่าแก่เว็บไซต์ (provide value)
สองเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จในอินเตอร์เนต: ยะฮู้และแอมเมซอนดอทคอม ทั้งสองเว็บไซต์นี้ได้เพิ่มคุณค่าให้กับเว็บไซต์ของตนโดยการให้บริการทางด้านข้อมูลฟรี การสร้างแหล่งชุมชนในเว็บไซต์ของตนและแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ 
การเสนอคุณภาพ

 เว็บไซต์ที่ทำขึ้นมาจะต้องแสดงถึงคุณภาพ นั่นหมายถึงความเร็วในการเปิดหน้าเว็บไซต์ การออกแบบเว็บไซต์ควรจะดูสบายตา และทำความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งจะทำให้ผู้เข้ามายังเว็บไซต์ทำความเข้าใจในการเสนอสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจของเราแสดงไว้ในเว็บไซต์ ซึ่งผลที่กลับมานั่นคือการกลับเข้ามาบ่อยๆ ของลูกค้า
ต้องมีเอกลักษณ

 เว็บไซต์ของร้านนั้นควรจะมีเอกลักษณ์พิเศษซึ่งแสดงถึงร้านค้าหรือบริษัท อาจจะเป็นโลโก้หรือตัวหนังสือก็ได้ เพราะคุณไม่อาจแน่ใจว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในอินเตอร์เนตที่มีอยู่มากมายนั้นอาจจะดูคล้ายกับเว็บไซต์ของร้านคุณก็เป็นไปได้ ดังนั้นควรจะมีการสร้างสัญลักษณ์เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของเว็บไซต์ของร้านคุณ
การสร้างแบรนด์เนม
 มูลค่าของยะฮูมากกว่าอินโฟซีกถึง 10 เท่าเพราะว่าในขณะนี้แบรนด์เนมของยะฮูนั้นอ้างอิงถึงอินเตอร์เนต และแอมเมซอนดอทคอมด้วยเช่นกัน ทั้งสองเว็บไซต์นี้ได้เลือกตั้งชื่อเว็บไซต์ที่ง่ายในการจดจำและง่ายในการพิมพ์เพื่อที่จะไปยังเว็บไซต์นั้นๆ ชื่อเว็บไซต์นั้นควรที่จะมีความหมาย ง่ายต่อการจำ
อีคอมเมิร์ช

 เว็บไซต์ของร้านค้าหรือบริษัทของคุณนั้นควรจะมีระบบของอีคอมเมิร์ชอย่างครบถ้วน เพื่อให้ธุรกิจของคุณนั้นสามารถที่จะทำผ่านทางอินเตอร์เนตได้ ผู้เข้ามาที่เว็บไซต์ของธุรกิจคุณเพื่อที่จะซื้อสินค้าหรือบริการสามารถทำได้โดยคลิ๊กที่ปุ่มเท่านั้นเอง เว็บไซต์ของคุณนั้นต้องมีการบริการที่รวดเร็ว สนุก และง่ายต่อการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจากสถิติของสำนักวิจัยฟอเรสเตอร์พบว่า การซื้อขายในอินเตอร์เนตนั้นจะมีมูลค่าประมาณ 108 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 4,320 พันล้านบาทภายในปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546)
การโฆษณาประชาสัมพันธ์

์ ใช้สื่อในการโฆษณาเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ของคุณ อาจจะใช้เสริสเอ็นจิน อีไซต์ การส่งอีเมล์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ในอินเตอร์เนตต่างๆ การโฆษณาโดยผ่านสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ เพื่อให้ทุกคนได้ทราบว่าธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์ที่สามารถเข้าไปซื้อสินค้าหรือบริการได้
ความอดทน

ในการทำธุรกิจในอินเตอร์เนตนั้นควรจะต้องมีความอดทนและคิดถึงผลในระยะยาว ในการประสบความสำเร็จนั้นก็ต้องมีการต่อสู้ทำงานหนัก ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืนเท่านั้น คุณควรต้องระลึกถึงเสมอว่าเป้าหมาย และกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของคุณ ได้เดินไปในทิศทางที่คุณต้องการหรือไม่ซึ่งควรจะทำเป็นลำดับขั้นตอน 

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีคอมเมิร์ช 3 Ecommerce for rich 3

           อีคอมเมิร์ซ 6 ส่วน 
         ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วนก็แบ่งได้ดังต่อไปนี้
     (1)การขายปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเทลลิ่ง (E-tailing= Electronic Retailing) หรือร้านค้าเสมือนจริง (Virtual Storefront) ยอดขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาใน ค.ศ. 1999 มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท
     (2)การวิจัยตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือมาร์เก็ตอีรีเซิร์ช (Market E-research) คือการใช้อินเตอร์เนตในการวิจัยตลาดแบบเดียวกับที่สำนักวิจัยเอแบค-เคเอสซีอินเตอร์เนตทำอยู่ จากการใช้อินเตอร์เนตนี้ บริษัทห้างร้านสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบัน และผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคต ทั้งจากการลงทะเบียนเข้าใช้เว็บ จากแบบสอบถามและจากการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้า การวิจัยตลาด อินเตอร์เนตก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
     (3)อินเตอร์เนตอีดีไอ  หรือการส่งเอกสารตามมาตรฐานอีดีไอโดยใช้อินเตอร์เนต ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำลงก็ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์ซประเภทหนึ่ง
     (4)โทรสารและโทรศัพท์อินเตอร์เนต  การใช้โทรสารและโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเตอร์เนตหรือ วีโอไอพี (VoIP= Voice over IP) นั้นมีราคาต่ำกว่าการใช้โทรสารและโทรศัพท์ธรรมดา และอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
     (6) การซื้อขายระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทต่างๆ จำนวนมากในปัจจุบันติดต่อซื้อขายสินค้ากันโดยผ่านเว็บในอินเตอร์เนต ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
     (7) ระบบความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของอีคอมเมิร์ซ ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการใช้วิธีต่างๆ เช่น เอสเอสแอล (SSL= Secure Socket Layer) เซ็ต (SET = Secure Electronic Transaction) อาร์เอสเอ  (RSA = Rivest, Shamir and Adleman) ดีอีเอส (DES= Data Encryptioon Standard) และดีอีเอสสามชั้น (Triple DES) เป็นต้น
อีคอมเมิร์ซ 2 ประเภทสินค้า ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าก็แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีคอมเมิร์ช 2 Ecommerce for rich 2

ประวัติวิวัฒนาการอีคอมเมิร์ซโดยสังเขป
     การค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้นเริ่มขึ้นบนโลกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2513 ซึ่งได้มีการเริ่มใช้ระบบโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเอฟที (EFT = Electronic Fund Transfer) แต่ในขณะนั้นมีเพียงบริษัทขนาดใหญ่และสถาบันการเงินเท่านั้นที่ใช้งานระบบโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ต่อมาอีกไม่นานก็เกิดระบบการส่งเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีดีไอ (EDI = Electronic Data Interchange) ซึ่งสามารถช่วยขยายการส่งข้อมูลจากเดิมที่เป็นข้อมูลทางการเงินอย่างเดียวเป็นการส่งข้อมูลแบบอื่นเพิ่มขึ้น เช่น การส่งข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินกับผู้ผลิต หรือผู้ค้าส่งกับผู้ค้าปลีก เป็นต้น
หลังจากนั้นก็มีระบบสื่อสารรวมถึงโปรแกรมอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่ระบบที่ใช้ในการซื้อขายหุ้นจนไปถึงระบบที่ช่วยในการสำรองที่พัก ซึ่งเรียกได้ว่าโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของการสื่อสาร และเมื่อยุคของอินเตอร์เนตมาถึงเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2533 จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เนตก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้เกิดขึ้น เหตุผลที่ทำให้ระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์เติบโตอย่างรวดเร็วคือโปรแกรมสนับสนุนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมามากมาย รวมถึงระบบเครือข่ายด้วย พอมาถึงประมาณปี พ.ศ. 2537 – 2542 ก็ถือได้ว่าระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซก็เป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมอย่างมากและรวดเร็ว ซึ่งวัดได้จากการที่มีบริษัทต่างๆ ในอเมริกาได้ให้ความสำคัญและเข้าร่วมในระบบอีคอมเมิร์ซอย่างมากมาย
ประเภทของอีคอมเมิร์ซ
   มีการแบ่งประเภทอีคอมเมิร์ซกันหลายแบบ เช่น แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วน และแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าเป็น 2 ประเภท เป็นต้น
อีคอมเมิร์ซ 5 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภทก็ได้ดังต่อไปนี้
     (1) ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) คือประเภทที่ผู้ซื้อปลีกใช้อินเตอร์เนตในการซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเตอร์เนต
     (2) ธุรกิจกับธุรกิจหรือบีทูบี (B-to-B = Business-to-Business) คือ ประเภทที่ธุรกิจกับธุรกิจติดต่อซื้อขายสินค้ากันผ่านอินเตอร์เนต
     (3) ธุรกิจกับรัฐบาลหรือบีทูจี (B-to-G = Business-to-Government) คือประเภทที่ธุรกิจติดต่อกับหน่วยราชการ
     (4) รัฐบาลกับรัฐบาลหรือจีทูจี (G-to-G = Government to Government) คือ ประเภทที่หน่วยงานรัฐบาลหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลอีกหน่วยงานหนึ่ง
     (5) ผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือซีทูซี (C-to-C = Consumer-to-Consumer) คือ ประเภทที่ผู้บริโภคประกาศขายสินค้าแล้วผู้บริโภคอีกรายหนึ่งก็ซื้อไป เช่นที่อีเบย์ดอทคอม(Ebay.com) เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินให้กันทางบัตรเครดิตได้
อีคอมเมิร์ซ 3 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภทก็อาจจะแบ่งได้ ดังต่อไปนี้ ้
     (1)อีคอมเมิร์ซระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ หรือ บีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) ซึ่งอาจจะมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
     - การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กลุ่มสนทนา  กระดานข่าว  เป็นต้น
     - การจัดการด้านการเงิน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว เช่น ฝาก-ถอน เงินกับธนาคาร  ซื้อขายหุ้นกับผู้ค้าหุ้น  เช่น  อีเทรด (www.etrade.com) เป็นต้น
     - ซื้อขายสินค้าและข้อมูล  ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้าและข้อมูลผ่านอินเตอร์เนตได้โดยสะดวก

     (2)อีคอมเมิร์ซภายในองค์กรหรือแบบอินทราออร์ก (Intra-Org E-commerce) คือ การใช้อีคอมเมิร์ซในการช่วยให้บริษัทหรือองค์ใดองค์กรหนึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานภายในและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
     - การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรจะสะดวกรวดเร็วจะได้ผลดีขึ้น โดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์  วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ และป้ายประกาศ เป็นต้น
     - การจัดพิมพ์เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีพับลิซซิง (Electronic Publishing) ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบเอกสาร จัดพิมพ์เอกสาร และแจกจ่ายเอกสารได้สะดวกรวดเร็ว และใช้ค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ว่าจะเป็นคู่มือข้อกำหนดสินค้า (Product Specifications) รายงานการประชุม เป็นต้น ทั้งนี้โดยผ่านเว็บ
     - การปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงานขาย การใช้อีคอมเมิร์ซแบบนี้ช่วยปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายขาย และระหว่างฝ่ายขายกับลูกค้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น

     (3)อีคอมเมิร์ซระหว่างองค์กรหรือแบบอินเตอร์ออร์ก (Inter-Org E-commerce)  ซึ่งก็คือแบบเดียวกับแบบที่เรียกว่าบีทูบี (Business to Business) ทั้งนี้โดยมีตัวอย่างต่อไปนี้
     - การจัดซื้อ ช่วยให้จัดซื้อได้ดีขึ้น ทั้งด้านราคา และระยะเวลาการส่งของ
     - การจัดการสินค้าคงคลัง
     - การจัดส่งสินค้า
     - การจัดการช่องทางขายสินค้า
     - การจัดการด้านการเงิน

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีคอมเมิร์ช 1 Ecommerce for rich 1

     อ่านแล้วรวย  วันนี้พูดถึง ธุรกิจอีคอมเมิร์ช (E-Commerce) คือ การให้บริการต่างๆ หรือเป็นการขายของ โดยใช้ อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางระหว่าง ผู้ซื้อกับผู้ขายนั่นเอง
          หลักการง่ายๆ ของการทำ ธุรกิจอีคอมเมิร์ช คือ เรามีสินค้าหรือบริการอะไรบ้าง แล้วก็นนำมันออกมาขาย หรือถ้าหากไม่มีสินค้า ก็ดูว่าเรามีความสนใจ สินค้าอะไรเป็นพิเศษบ้าง สินค้าอะไรบ้างที่เรา ซื้อใช้ หรือมีความชื่นชอบ เป็นอย่างมากมีการใช้สินค้าตัวนั้นบ่อยๆ จนเรารู้จักสถานที่ขาย (ร้านประจำของเรา) รู้จักวิธีการใช้รู้ข้อดี ข้อเสียของสินค้าตัวนั้น เป็นอย่างดี เพราะถ้าหาก เรามีความรู้ในตัวสินค้าแล้วก็จะทำให้ การโฆษณาประชาใมพันธ์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
          หลังจากที่เรามีสินค้าเพื่อทำ ธุรกิจอีคอมเมิรช จากนั้นก็ทำการสร้างเว็บไซต์ ขึ้นมา จัดแจงใส่รายละเอียดต่างๆ ของสินค้าเราลงไปในเว็บไซต์ ทำการโปรโมทเว็บไซต์ ให้เป็นที่รู้จัก ที่เหลือก็นั่งๆ นอนๆ รอคนที่ท่องเที่ยว ในโลกอินเทอร์เน็ตเดินทาง ผ่านเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าภายในหน้าร้าน (ในเว็บไซต์ของเรา) แล้วก็สั่งซื้อสินค้าของเราเพียงเท่านี้ก็หาเงินได้แล้วครับ
          การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ช หรือการหารายได้จาก การทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันได้รับ ความนิยมในระดับต้นๆ เพราะการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ช ถ้าหากมีการทำการตลาดที่ดีแล้ว สินค้าของเราก็จะ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และขายดี สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีเบย์ 4 ebay for rich 4

              ก่อนจะเริ่มเล่าเป็นการเป็นงาน ผมขอพูดถึงหัวใจหลักของการขายของที่ผมยึดไว้เป็นอุดมการณ์เผื่อมีประโยชน์กับใครบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
  1. ต้องมีความจริงใจต่อลูกค้าของเราและอย่าขาดการติดต่อกับลูกค้าของเราทุกคนครับเพราะหากลูกค้าประทับใจและชอบที่จะซื้อของกับเราแล้วละก็สิ่งที่เราจะได้คือลูกค้าประจำและเป็นการแนะนำปากต่อปากเป็นการช่วยโปรโมทร้านเราไปในตัว วันที่ผมคิดว่าผมจะประสบความสำเร็จจากการขายได้ ไม่ใช่เป็นวันที่ผมขายของได้นะครับ แต่ต้องเป็นวันที่ลูกค้าคนเดิมกลับมาซื้อของกับผมเป็นครั้งที่ 2 ทุกๆคนคงเคยรู้สึกนะครับว่าบางทีเรายอมจ่ายแพงกว่ากับของที่เหมือนๆกันเพื่อแลกกับความสบายใจและการบริการ สุดยอดนักขายคือการทำให้ลูกค้าที่ไม่มีใครต้องการมาเป็นลูกค้าที่ดีของเราครับ
  2. ต้องกล้าเสี่ยงที่จะลงทุนและยอมรับได้ถ้าจะขาดทุน อย่าลืมนะครับว่าทุกๆการขายมักจะมีการต่อรองกันเกิดขึ้น บางครั้งเราต้องยอมบ้างหากจะรักษาลูกค้าไว้ ซึ่งปัญหาเรื่องขาดทุนผมว่าเราป้องกันได้หากมีการจัดการบัญชีที่ดีพอ
  3. การมีหน้าร้านที่ดีและดูสบายตา ผมเชื่อว่าคนที่เข้ามาที่ร้านไม่ต้องการดูเทคนิคการออกแบบร้านของเราว่าเลิศหรูอลังการมากหรอกครับ เขาสนในที่ของของเรามากกว่า อย่าทำให้จุดอื่นในร้านค้าโดดเด่นกว่าสินค้าของเรา ยกเว้นป้ายโฆษณาที่โดดเด่นได้ พยายามอย่าใส่ลูกเล่นพวก flash player กับร้านเรามากนักเพราะมันไม่มีประโยชน์กับการโปรโมทร้านแบบของผมที่จะบอกในบทต่อๆไป แนะนำให้ป้ายหน้าร้านมีสโลแกน เก๋ๆ จำง่าย ยิ่งมีชื่อสินค้าที่เราขายด้วยยิ่งดี
  4. และสุดท้ายที่ทำมาทั้งหมดนี้จะไม่มีความหมายอะไรเลยหากขาดการโฆษณาร้านที่ดี อย่าลืมนะครับว่าการโปรโมทร้านเพื่อเพิ่มยอดขายของผมคือการขายของทั้งในและนอก ebay พูดง่ายๆคือทั่วโลกครับ และทุกคนก็มีโอกาสโฆษณาร้านให้กับคนทั่วโลกได้ไม่ยากครับ เพราะ google เตรียมให้เราทุกอย่าง คราวนี้มันก็อยู่ที่กึ๋นของแต่ละคนละครับว่าจะจูงใจลูกค้าได้แค่ไหน ถ้านึกไม่ออกลองคิดดูซิครับว่าทำไมเพื่อนๆถึงเข้ามาคลิกอ่านบนความของผม อะไรดลใจให้เข้ามาอ่าน แล้วเพื่อนๆจะเริ่มมองอะไรออก นั่นก็เป็นหลักการพื้นฐานของการโฆษณาครับ ลองนึกถึงหนังสือที่ติดอันดับ top seller อยู่ทุกวันนี้ว่า ซิครับว่าชื่ออะไร อันดับ 1 the top secret  หรือ อันดับที่ 1 เมื่อก่อนชื่อ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ผมชอบการตั้งชื่อหนังสือพวกนี้นะครับ ฟังแล้วรู้สึกน่าซื้อดี หรือเพื่อนๆว่าไงครับ มันเป็นการเล่นกับความรู้สึกอยากรู้ของมนุษย์ และเราก็สามารถเอามาประยุกต์ใช้กับการขายของของเราได้ เช่นจะขายเสื้อแล้ว โฆษณาว่า เสียดายคนตายไม่ได้ใส่ คิดเล่นๆนะครับไม่ได้จะทำจริง 
  เอาละครับมาเข้าเรื่องดีกว่า สำหรับการโฆษณาที่ผมพูดก็มีอยู่ 2 แบบคือ แบบเสียเงิน และแบบไม่เสียเงินครับ ขึ้นอยู่ว่าใครถนัดแบบไหน ถ้าเป็นแบบเสียเงินร้าน ebay store ของเราก็จะส่งถึงคนทั่งโลกได้ทันที แต่ถ้าไทม่เสียเงินก็ต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการโปรโมทร้านของเราตามแบบฉบับของ search engine แต่ถ้าสำเร็จผมบอกได้คำเดียวว่าคุ้มครับกินยาวไปเลย มีเท่าไรก็ขายไม่พอ  แต่สำหรับผมทำมันทั้งคู่เลยครับควบคู่กันไป ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแน่นอน โดยส่วนตัวผมชอบการโฆษณากับพวก search engine พวกนี้นะครับเพราะมันเสียค่าใช้จ่ายการโฆษณษาที่ถูกที่สุดแล้วและเราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ อีกอย่างมันเป็นการโฆษณษาที่เราสามารถเลือกได้ครับว่าจะให้แสดงที่ไหนเพียงแค่มีคนพิมพ์ชื่อสินค้าเราผ่าน search engine ส่วนประเทศไหนที่สุ่มเสี่ยงหรือไม่สามารถส่งของไปได้เราก็เลือกให้โฆษณาของเราไม่ไปแสดงที่นั่นได้ มันยอดมากเลยใช่ไหมจอร์ท 
  พูดมาซะยืดยาวสรุปนะครับว่าผมจะบอกแนวทางที่จะทำอย่างไรให้ store ของเราไปอยู่ที่หน้าแรกของการค้นหาผ่าน google เพราะว่าร้านของเราจะมีโอกาสถูกคลิกมากที่สุดจากคนที่ต้องการสินค้าที่เราขายอยู่ ทำให้โอกาสขายของออกจากร้านของเรามีมากกว่า 80% (อย่าลืมที่ผมบอกนะครับว่าทำอย่างไรที่จะให้เขากลับมาที่ร้านเราอีก) ซึ่งหากเขาเขาคลิกเข้ามาดูในร้านเราและเห็นว่าร้านเรามีของที่เขาต้องการ มีความน่าเชื่อถือซึ่งเราจะได้อนิสงค์นี้จากชื่อ ebay อยู่แล้ว อีกทั้งร้านเรามีระบบการจ่ายเงินที่ง่ายดูโปร่งใส paypal ก็ช่วยได้เหมือนกัน เพราะ paypal จะแสดงว่าเรามีตัวตนจริงๆ และสุดท้ายลูกค้ามั่นใจว่าเรามีการส่งของจริงๆจากระบบ feedback ของเราที่โชว์ในร้านที่ผมว่า ebay ลบจุดอ่อนจากการของผ่านเน็ตก็ตรงนี้ละครับ ส่วน google จะเข้ามาช้วยลบจุดอ่อนของ ebay ให้เราสามารถขยายตลาดของเราไปทั่วโลกได้ง่ายๆโดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มสมาชิก ebay เท่านั้น หากว่าเราขายสินค้านอก ebay เห็นว่า ebay จะคืนเงินให้เราด้วยอีกแต่อันนี้ไม่ยืนยันนะครับ รอผู้รู้มาตอบดีกว่า
  ชักจะเมื่อยแล้วครับพิมพ์มาซะยาวเอาว่า วันนี้พอเท่านี้ก่อนดีกว่า ก่อนจบผมขอให้ทุกท่านที่สนใจจะทำการขายตามแบบของผมไปดำเนินการเพิ่มสกุลเงินในบัญชี paypal ให้รับได้หลายๆสกุลนะครับและใครที่ใช้แบบ personal อยู่ก็เปลี่ยนไปใช้แบบ premium ซะนะครับเพราะว่าคนที่ซื้อของเราที่ไม่ใช่สมาชิก ebay ส่วนใหญ่จะใช้บัตรเครดิตครับ

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีเบย์ 3 ebay for rich 3

เทคนิคเพิ่มยอดขายให้กระจุย บทที่2
 ครับ ก่อนที่ผมจะเริ่มบรรยายต่อ ผมมีคำถามจะถามทุกคนหนึ่งข้อครับ ว่า ขณะที่เรานั่งอยู่หน้าคอม แล้วเราอยากจะหาสินค้าหรืออยากจะซื้ออะไรซักอย่าง เราจะทำอย่างไรครับ คนทั่วไปคงจะไม่ได้เข้าไปที่ ebay แล้วกดเลือกหาสินค้ากันทุกคนจริงไหมครับ 
 ใช่แล้วครับ เขาจะต้องใช้เครื่องมือที่เขาเรียกกันว่า search engine ที่ทุกคนรู้จักกันดี คือ google, yahoo หรือ MSN หาให้เราจริงไหมครับ ทีนี้ถึงเวลาที่เราก็จะใช้เครื่องมือพวกนี้ให้เป็นประโยชน์เพื่อที่จะส่งสินค้าของเราออกสู่สายตาชาวโลกได้แล้วครับ search engine ที่เป็นที่นิยมที่สุดขณะนี้ก็คือ google ดังนั้นผมจะอธิบายเฉพาะ google ละกันเพราะของเจ้าอื่นมันก็จะคล้ายๆกัน เอาละครับทีนี้ถึงขั้นตอนอย่างละเอียดแล้ว 
  สิ่งที่คุณจะต้องเตรียมให้พร้อมก่อนที่จะลุยตลาดโลก ผมขอให้คุณสมัครใช้บริการของ gmail เพื่อใช้บริการของ google ซึ่งขั้นตอนการสมัครก็ง่ายมากๆครับแถมยังฟรีอีกต่างหากถูกใจผมจริงๆ gmail จะให้พื้นที่ mail กับเราประมาณ 7 gig ซึ่งก็มากอยู่ ในขั้นตอนต่อมาผมเข้าใจว่าทุกคนเป็นสมาชิกของ ebay กันแล้วนะครับ ทีนี้ผมขอให้สมัครใช้บริการของ ebay store กันเลยครับประมาณ 15$ ต่อเดือนในขั้นตอนนี้ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเท่าไรเพราะเสียตัง ยิงฟันยิ้ม แต่คิดซะว่าเราก็ได้บางสิ่งกลับคืนมามากมาย เช่นเราสามารถลงของได้หลายๆชิ้นในราคาที่ถูกลงเพราะเราหวังจะขายในปริมาณที่มากใช่ไหมครับ สองคือเราจะต้องมีหน้าร้านเป็นของตัวเองตามที่ผมกล่าวข้างต้นและเราสามารถออกแบบหน้าร้านของเราได้ตามใจชอบเลยครับไม่ต้องมีความรู้ทำ web ก็มีร้านได้แล้วทีนี้ ยิ้มกว้างๆ อุปกรณ์ตกแต่งร้านให้สวยงามก็มีพร้อม สาม ebay จะแถมโปรแกรม selling manager มาให้กับสมาชิก store ทำให้เราบริหารร้านได้ง่ายขึ้นฟรีต่างหาก สี่ เราประหยัดค่าใช้จ่ายการเช่า hosting และ domain ของร้านเราไปในตัว ห้า แบรนของ ebay จะช่วยให้เราขายของได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปและขึ้นชื่อว่ามีของถูก อีกอย่าง ebay มีระบบ feedback สร้างความน่าเชื่อถือให้ร้านเราได้เป็นอย่างดี
  ถ้านับข้อดีได้ห้าข้อก็สมัครเลยนะครับ  ขยิบตาเพราะสิ่งที่ผมต้องการจริงๆคือ URL ของร้านเราจาก ebay นั่นเอง หลังจากสมัครแล้วเราจะได้ URL เป็นhttp://stores.ebay.com/ชื่อstoreของเรา 
  คราวนี้เราก็พร้อมที่จะนำร้านของเราสู่ตลาดโลกแล้วครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีเบย์ 2 ebay for rich 2

                 รวยด้วยอีเบย์ ตอน 2     ในวันแรกที่ผมสมัคร ebay.com ผมตั้งเป้าไว้เลยว่าสินค้าของผมต้องออกสู่สายตาชาวโลกได้ไม่ยาก แต่ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ไหนมันมีแต่ order จาก เมกา กับ แคนนาดาหว่า...ก็เพิ่งมารู้จากบอร์ดนี้ละครับ ว่าจะต้องจ่ายตังเพิ่มหากอยากให้สินค้าเราไปโชว์ที่ ebay อื่นๆ เช่นของ อังกฤษ ยังงี้เขาเรียกว่าเก็บเล็กเก็บน้อยนี่หว่า ไอ้ครั้นจะไปสมัคร ebay.uk หรือ ของประเทศอื่น สงสัยจะโดนค่าธรรมเนียมการลงสินค้าจะอ้วกแน่ๆหากลงมันทุกประเทศ สิทธิพิเศษก็ให้เฉพาะ power seller อย่างพวกลดค่าธรรมเนียมการลงสินค้าหรือ ขายของยกล็อต รับประกันตอบคำถามภายใน 24 ชั่วโมง แบ่งชนชั้นชะมัด ผู้ขายหน้าใหม่ๆเกิดลำบาก เพราะกว่าจะปิดการขายได้มันมีค่าธรรมเนียมรายทางเต็มไปหมด แต่ไม่ต้องห่วงครับไม่เหลือบ่ากว่าแรก คิดซะว่ามันเป็นจุดหมายที่เราจะต้องเป็น power sellerให้ได้ คนขายหน้าใหม่ๆไม่ต้องกลัวครับ FB แค่ 5 ยังขายของได้เรื่อยๆเลยถ้าเขาต้องการจริงๆเชื่อผม เดี๋ยว FB มันก็ค่อยๆขึ้นไปเองเหละครับ ปลูกต้นไม้มันต้องหว่านปุ๋ยแล้วรอเก็บเกี่ยวครับ ลองคิดถึงวันที่มันออกดอกออกผลเต็มต้นรอให้เรามาเก็บเกี่ยวซิครับ ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์อย่างสายดำต้นไม้มันโตเร็วแต่ซักพักติดมันก็จะเสื่อมแล้วต้นไม้ที่ปลูกไว้มันก็จะตายจริงไหมครับ ข้อเสียของ ebay อีกอย่างที่ผมรับไม่ได้ก็พวกจำกัดสิทธิบางอย่างของประเทศฝั่งเราๆ ถูกมองว่าคอยแต่จะโกง ยังงี้มันเยียดผิวกันนี่หว่า คนดีๆเขาก็มีนะเฟ้ย คอยดูนะจะเป็น power seller แล้วอย่ามาง้อละกัน ทุกอย่างที่พูดมาเป็นข้อเสียที่พอจะนึกได้นะครับ แต่จริงๆแล้วก็ยังรัก ebay อยู่เสมอ ก็อู่ข้าวอู่น้ำเราในอนาคตนี่ครับ สุดท้ายของข้อเสียก็คือกลุ่มลูกค้าของเราจะถูกจำกัดเฉพาะสมาชิกของ ebay ในประเทศที่เราสังกัดเท่านั้นและพวกนั้นนอกจากจะเป็นผู้ซื้อแล้วบางคนก็เป็นผู้ขายด้วย คิดดูซิครับว่าการแข่งขันสูงขนาดไหนยิ่งสมาชิกมาก การแข่งขันก็จะสูงขึ้นมากเป็นเงาตามตัว ยากมากครับที่จะทำให้สินค้าของเราไปอยู่หน้าแรกตอนที่เขา search หาสินค้าในหมวดของเรายกเว้นของของเราจะไม่หมือนใครและไม่มีใครเหมือนจริงๆ  
   ความตั้งใจแต่แรกของผมคือต้องขายทั่วโลก ลองคิดดูซิครับว่า สมาชิก ebay อย่างมากประเทศนึงก็มีซัก 20 ล้านคน แต่คนทั้งโลกมีกี่พันล้านคนครับที่เปิด internet หาซื้อของอยู่ขณะนี้ซึ่งอาจจะมีของที่เรากำลังขายอยู่ก็ได้ คราวนี้ผมจะใช้ข้อดีของ ebay ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์บวกกับความรู้ที่มีมาอุดช่องว่างตรงนี้ รับรอง กระทู้หน้าจะเข้าประเด็น เทคนิคเพิ่มยอดขายให้กระจุยกันแล้วนะครับ แค่เดินตามทางที่ผมบอกอย่าหลงทางกันก็พอ  
   

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยอีเบย์ 1 ebay for rich 1

               รวยด้วยอีเบย์   ปัญหาหลักๆของคนที่เข้ามาทำ ebay ใหม่ๆคือไม่รู้จะขายอะไรดี แต่คนที่มีสินค้าเป็นของตัวเองแล้ว คุณเป็นผู้ที่มีแววว่าจะประสบความสำเร็จไปครึ่งนึงแล้วครับ แต่สำหรับผมเริ่มจาก 0 เลยครับไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ผมว่าเราโชคดีนะครับที่เกิดในเมืองไทยเพราะอะไรของบ้านเราก็ขายได้ทั้งนั้นเหละครับขอให้ถูกกฏของ ebay ก็พอ หันมาทำสายขาวกันจะดีกว่าครับจะได้ขายกันยาวๆ ของในบ้านเราถูกกว่าที่อื่นมากครับ บางทีรวมค่าจัดส่งแล้วยังถูกว่า ของที่ต่างชาติขายแบบ free shipping เลย ใช้จุดขายตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ครับ ถือคติขายได้กำไรต่อชิ้นน้อยแต่ขายได้ปริมาณมาก ดีกว่าหวังกำไรสูงแต่ขายไม่ออกนะครับ จากประสบการณ์ของผมที่ฝรั่งเศส เชื่อไหมครับว่าเงาะกับกล้วยที่นำเข้าจากบ้านเราแล้วไปขายในบ้านเขา เขาขายกันเป็นลูกครับ แล้วลูกดำๆเ...่ยวๆด้วย เขาขายกันท่ลูกละ 1 ยูโรเป็นเงินบ้านเราก็ประมาณ 50 บาท เริ่มมองเห็นอะไรขึ้นมาลางๆแล้วใช่ไหมครับ
           ผมเป็นคนนึงที่ตอนแรกอยากจะมี website ขายของทาง internet เป็นของตัวเองแต่หลังจากศึกษาแล้วจึงรู้ว่ายังตัวเองยังมีความรู้ตรงนี้น้อยเพราะว่า 
  1. จะต้องมีความรู้ในการใช้โปรแกรมเขียน website พอสมควรหรือไม่อย่างนั้นต้องจ้างเขาเขียนแล้วดูแลระบบให้ซึ่งมีค่าใช้จ่ายพอสมควร อันนี้ตกไปเลยครับเพราะผมจะไม่ลงทุนขนาดนั้นและผมก็ขี้เกียจจะมานั่งศึกษาโปรแกรม html ด้วย 
  2. จะต้องมีค้าใช้จ่ายในการเช่า hosting และ domain เป็นของตัวเองตกปีละประมาณ 3000 บาท อันนี้ตกไปเช่นกันด้วยประเด็นเดิมคือไม่ชอบลงทุนครับ
  3. จะต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษดีพอสมควรเพื่อจะเขียนบรรยาย web ของเราและแนะนำ web ของเราให้ดูน่าเชื่อถือ ยกเว้นเราจะเป็น บริษัท ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วผมว่าตรงนี้เป็นปํญหาของคนไทยแท้อย่างเราๆเลยครับ
  4. สุดท้ายพอทำ web เสร็จจะมีคนเข้ามาดู web เราหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะขายได้เปล่าก็ยังไม่แน่ใจ แต่มีค่าใช้จ่ายแน่นอนอยู่แล้ว